Tuesday, March 21, 2006

ขออนุญาตแทรกความบังเอิญนี้ไปถึง

- สารจากสมาชิก -


Oh my word, what does it mean
Is it love or is it me
That makes me change so suddenly?
Looking out, feeling free

Sit here lying in my bed
Wondering what it was I'd said
That made me think I'd lost my head
When I knew I lost my heart instead.

Won't you please read my signs, be a gypsy.
Tell me what I hope to find deep within me.
Because you can find my mind, please be with me.

เสียงโทรศัพท์สอดแทรกจากระเบียงข้างๆ หญิงสาวเสียงสดใส กลิ่นโคโลญจน์ไม่เปลี่ยน อาหารเย็นตกค้าง ชัดเจนเพียงผนังคอนกรีตกั้น บทสนทนาคล้ายกำลังซ้อมบทละครหน้ากระจก

ค่ำคืนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง อาหารเพื่อสุขภาพยังคงอยู่ เน้นย้ำและยังยืนยันอย่างหนักแน่น "ชีวิตมีความสุข จึงต้องยืดเวลาออกไป" เวลา 02.30 น. เช่นนี้หลายคนคงอยากยืดเวลามันออกไป

เวลาแห่งความสุขกลายเป็นสิ่งที่หลายคนหวงแหน ความตายเป็นภาคตรงข้าม มิใช่กลัวการดับสูญหรือแปรสภาพ เพียงแค่ไม่แน่ใจว่าข้างหน้าจะมีอะไรที่สวยงามพอให้ไขว่ขว้าหรือเปล่า หากลมหายใจที่หมุนเวียนอยู่ ความสุขนั้นเลือนลาง ความทุกข์สิกดทับ หนักหนาราวกับแบกภาระของเวลาไว้ ก็ผูกร้อยตนเองกับอากาศแล้วให้โลกกระชากหัวใจสู่เบื้องล่าง ทิ้งความตายไว้เป็นข้อมูลเผื่อการไต่สวนของโชคชะตา

ทำนองดนตรีสดใสบรรเลง เสียงน้ำจากฝักบัวลงพื้น กลิ่นชาวเวอร์ ครีมบางๆ แทนที่ เนื้อเพลงสร้างสรรค์ มีเธอจึงมีฉัน ความสุขไม่มีวันหล่นหาย น่าทะนุถนอมเป็นที่สุด

ไม่นานเกินบุหรี่สองม้วน เสียงน้ำจากฝักบัวยุติลง แสงนีออนในห้องฉายภาพผ่านผนังตึกตรงข้าม คุณภาพไม่ถึงกับแผ่นฟิล์ม แต่ก็แยกขาวดำพอให้เห็นรูปร่างถนัด ไม่อาจระบุชัดเจนได้ เพียงการแปรงผมยาว หมุนวนกับบราเซียร์และกระโปรงสั้น เธอหายไปจากจอภาพ ไม่นานเมื่อเพลงที่สี่จบลง "กอดฉันไว้ในอ้อมแขนนานๆ ทุกวินาทีช่างอ่อนหวาน" ดวงไฟในห้องดับสนิท เสียงประตูปิดลง

กลิ่นชาวเวอร์ ครีมแผ่วบาง กลมกลืนไปกับความมืด ไม่มีประโยชน์อันใดกับอาหารเพื่อสุขภาพและทางด่วน

จะมีสายรุ้งที่ทอดยาวด้วยแสงดาวในค่ำคืนครั้งนี้บ้างไหม

ขออนุญาตแทรกความบังเอิญนี้ไปถึง.

Wednesday, March 15, 2006

An Introduction to Dazzling Heart

- สารจากสมาชิก -

คงฟังได้ ถ้าตายเพื่อไปอยู่ในความทรงจำ หากเป็นความทรงจำใส่กระป๋องและรอวันหมดอายุ ทิ้งไว้เพียงภาพและกลิ่นสาบสางแห่งสถานที่ หากไม่มีนักโบราณคดีมาค้นพบว่า มันถอนร่นไปนานแค่ไหนและโรแมนติกอย่างไร ก็รอคอยวันเวลาที่จะเป็น "นิรันดร์"-- หมายถึงถูกลืม

บางเวลา ไม่เลือกสถานที่ คล้ายรู้สึกแต่ก็ยืนอยู่ปลายสุดภูผา มีเพียงอากาศเบาบางรอรับก้าวต่อไป ใช้เวลาไม่นานนักก็จมดิ่งใต้เหวลึก สมดุลที่ยืนอยู่ได้ก็เพียงแรงลมคู่ขนาน ร่างโอนเอนไร้จุดหมาย พร้อมทิ้งตัวลงได้ทุกเมื่อแม้เสียงกระซิบเย้ยหยัน

ความจริงของดวงดาว เด็กน้อยมีน้ำตา "ดาวอยู่ไกลเหลือเกิน หนูเอื้อมไม่ถึง" ดวงดาวกระซิบผ่าน "หนูเอ๋ย... ถ้าฉันไม่ได้อยู่ในใจหนู หนูจะมองเห็นฉันได้อย่างไร" บทละครก่อนนอน ประโลมความฝันใต้เงาหมอนและหนุ่มสาว

อุดมศึกษาเป็นเรื่องของดวงดาว ประกายความรู้เฉิดฉายสู่อนาคต รวมรวบสติปัญญาในสุญญากาศ พิสูจน์ตนว่าพร้อมจะเข้าสู่การผลิต การผลิตอันแยบยลและปันผลนวลใยมาบริโภคในฐานะค่าเสื่อมทางจิตวิญญาณ

ค่ำคืนครั้งนี้ไม่น่าจะได้พบเห็นในเมืองอย่างกรุงเทพฯ เงียบเชียบ ไร้ความเคลื่อนไหวที่โดดเด่น แสงไฟถ้อยอารมณ์ราวกับขาดความมั่นใจ ป้ายโฆษณาอาหารสุขภาพเพื่อชนชั้นกลางตระหง่านดีแท้ บอกให้รู้ไปเลยว่า กระแสชีวิตของพวกเราวูบไหวและโรแมนติกเพียงไร กลิ่นโคโลญจน์เหมือนอาหารเย็นตกค้างข้างห้อง หญิงสาวคนเดียวในเมืองใหญ่

หนุ่มสาวหายไปไหน

เพียงคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ ปล่อยลมพัดผ่าน หลายชีวิตที่กระถดเข้ามาใกล้ พร้อมเปลี่ยนแปลงและเผชิญหน้า แต่ทันใดก็ผินหลังไปไกล ดังกับเห็นทางออก ราวกับมีคำตอบ

งานกองพะเนินตั้งรอท่าอยู่ตรงหน้า ไม่ยากอะไรนักหากนับเป็นความอดทน อ่านให้ถี่ถ้วน เก็บใจความหลักอย่างแน่นหนา แยกสีและกลิ่น มัดให้แน่นแต่เชื่อมร้อยเผื่อผูกแก้ หาจุดพลิกผันตาลปัด (Drama) สรุปย่อให้เข้มข้น ไม่ต้องการภาพคมชัดแต่ให้ขมุกขมัวข้างเคียงเหตุผล สนองสมและบ่งกำหนัดทางวิชาการ

กลิ่นโคโลญจน์ยังผิวผ่าน เมนไลน์ ฟลอลิดา

หากจะมีสาวรุ่นเปลือยเปล่าในห้องนี้ สาบานได้ว่าเธอจะเป็นอาหารชิ้นสุดท้ายของวันนี้

คุกคู-คุกคู

Tuesday, March 14, 2006

สัตว์ป่าเปลี่ยวร้างกลางฤดูผสมพันธุ์

- สารจากสมาชิก -

เสียงร่ำร้องโหยหวนของแม่สาวคนนั้น (เธอชื่อ Beth Gibbons--นางชะนี) พร้อมทั้งเสียงโห่ร้องของผู้ชมท่ามกลางบรรยากาศปลอมๆ ของการแสดงคอนเสิร์ตสำเร็จรูปบรรจุลงแผ่นเสียงพลันกลายเป็นอณูเสียงที่รบกวนโสตประสาทของผม กลายเป็นส่วนเกินระหว่างผมและคลื่นความคิดที่ไม่มีตัวตนของผม ผมไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่ทว่ามันเกิดขึ้นเมื่อผมได้อ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ฉบับหนึ่งจบลง แต่เราควรเรียกมันเป็นฉบับจริงหรือ ผมไม่ค่อยแน่ใจ ในเมื่อมันไม่ได้ใส่ซองมาในรูปแบบที่คุ้นชิน และโลกที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ดูมันจะห่างไกลเหลือเกินจากวันที่ผมได้เรียนรู้กึ่งท่องจำจากคุณครูสมคิด พ่วงสีนวล ในห้อง ป. 2/3 ว่าลักษณะนามของจดหมายคือ "ฉบับ"

ที่มาที่ไปของปัจเจกชนคืออะไร??? เราเคยฝันกันถึงส่วนรวมมาก่อนไม่ใช่หรือ??? ปัจเจกชนมีแรงกระทำเท่ากับหนึ่งหน่วย--ที่ไม่สามารถเคลื่อนกงล้อแห่งประวัติศาสตร์ใดๆ ให้หมุนทับนายทุนได้ เอ๊ะ! ตาลุงเชียงกงคนรักแม่น้ำเจ้าพระยาผู้ที่เคยคิดขับเคลื่อนกงล้อที่บิดเบี้ยวอันนั้นมาก่อนก็เป็นปัจเจกชนนิยมสุดขั้วคนหนึ่งไม่ใช่หรือ? ในเมื่อคนระดับผู้นำเช่นนั้นมีทำนองชีวิตแบบนั้น ดังนั้นในภาวะหนึ่งหน่วยที่คับแคบนี้มันคงมีอะไรสำคัญอยู่บ้าง พูดให้ถูกคือท่ามกลางนาฏลีลาอันอ่อนช้อยแต่ซับซ้อนในจินตนาการของปัจเจกชนมันจะบรรจุเอาไว้ซึ่งพื้นที่ที่สำคัญบางอย่างระหว่างตัวของเรากับสิ่งรอบตัว

ในสภาวะที่เป็นเช่นนี้ ปัจเจกชนนิยมคงไม่ได้เป็นลัทธิที่ส่งเสริมความเป็นเอกภาพเท่าไรนัก! จริงหรือไม่ว่า ความไม่มีอยู่จริงของสิ่งที่เรียกว่าเอกภาพจึงเป็นสิ่งที่ก่อตัวในหัวใจของผู้คนที่มีบางห้วงยามจะดิ่งดำลึกลงสู่ "ห้วงเวลาแห่งตน" หาใช่ในใจของสาธุคุณผู้สงบและเจนธรรม

ความรัก? นี่เป็นสิ่งที่ควรกล่าวไว้บนบรรทัดนี้ว่า เป็นสิ่งที่มีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลหรือ? ในเมื่อโลกปัจจุบันที่มีวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่อยู่เป็นแกนกลาง เราให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นความรู้สึกเท่าไรกัน? เราผลักไสเอาสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกนั้นออกจากปริมณฑลแห่งเหตุผลไปไกลแล้ว "ความรักคืออะไรใครตอบได้ช่วยตอบที" จึงเป็นสิ่งที่ควรบันทึกเอาไว้บนพื้นที่บนบรรทัดแห่งนี้เสียมากกว่า

เพลโต เพลโต เพลโต ไอ้คนกรีกริยำพรรค์นั้น รวมทั้งอาจารย์และศิษย์ของมันทิ้งอะไรไว้ให้กับโลกกันบ้าง นอกจากการทำให้เยาวชนเสียคน (corrupting the youth) รวมถึงผู้ใหญ่บางคนด้วย (หลักฐานคงหาดูได้ในคณะรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยริมน้ำเจ้าพระยา) นักคิดต่างๆ จะมีดีก็แค่ทำให้โลกที่สุขสงบจากการปกครองด้วยศาสนาและระบอบการเมืองสั่นคลอนและโงนเงนง่อนแง่นจากผู้คนที่หลงผิดไปเอาความคิดผิดๆ มาใช้เป็นตะเกียงส่องนำทาง แค่เพียงเราเดินๆ ตามกันไปและยอมรับชะตากรรมว่าโลกนี้มันก็เป็นเช่นนี้แล ชีวิตเป็นสิ่งธรรมดา--ธรรมดาเป็นที่สุดด้วยซ้ำ พระเจ้ายังคงอยู่ นิทเช่ต่างหากที่ตายไป (รวมถึงไอ้ง่าวของเอ็งด้วย) จำไว้!!! อิฐก้อนหนึ่งบนกำแพงคือสิ่งที่เราเป็น เท่านั้นเองจริงๆ

ใครจะอยู่ใครจะตายก็เป็นเรื่องธรรมดา ใครหัวเราะหรือร้องไห้ก็เป็นเรื่องธรรมดา ฝนมาก็กางร่มเสีย การยืนตากฝนโดยไม่หาที่หลบอิงกายขณะที่ปากพร่ำบ่นว่าไยฉันจึงเปียกฝนอยู่ร่ำไปคงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก

ไฮ้!!! แต่เรามันป็นคนรูทวารพรรค์นั้นไม่ใช่หรือ พรรค์ที่ร้องไห้คร่ำครวญสงสารตนเอง?....

Wednesday, March 08, 2006










เก็บภาพมาฝากจากเวียดนามจ้า

Tuesday, March 07, 2006

ด้วยเวลาอันจำกัด (เนื่องจากสายรุ้งหลากสีสันพร้อมใจกันฉุดกระชากลากวิญญาณของใครบางคนจนล้มลุกคลุกฝุ่น) ทำให้พื้นที่แห่งนี้ร้างไร้การเยี่ยมเยือนจนเปลี่ยวร้างว่างเหงา เจ้าบ้านคงต้องขอผัดผ่อนไปก่อนจนกว่าจะมีเวลาลืมตาอ้าปาก ได้ฤกษ์นำพาตัวอักษรมาทักทายกันอีก

คราครั้งนี้จึงขออนุญาตนำผลงานของสมาชิกร่วมชมรม "ผู้ชายน่าเบื่อ" มาถ่ายทอด ณ พื้นที่แห่งนี้ ซึ่งเจ้าบ้านจะยินดีปรีดามากหากมันจะเป็นจุดเริ่มต้นให้สมาชิกท่านอื่นๆ เข้ามาร่วมวงบรรเลงเพลงอักษร สร้างบรรยากาศอันครึกครื้นราวกับร่ำสุราท่ามกลางนารีเฉิดฉัน

สายฝนโหมกระหน่ำสามารถกัดเซาะแผ่นผาให้ผุกร่อนได้ฉันใด

ดวงใจเปล่าเปลี่ยวก็ป่นสลายได้ด้วยสายฝนที่เจ้าของยินยอมให้มันราดรดได้ฉันนั้น

แผ่นผาสูงเด่นเหยียดฟ้า ยังมีดวงเดือนและดวงดาวสาดแสงโอบกอดปลอบขวัญ

แต่ดวงใจของคนเล่า สัมผัสนั้นจากไปสู่หนใด?



เดือนพฤษภาคม เมื่อฤดูฝนและวันเกิดหญิงสาวกำลังมาถึง...

- สารจากสมาชิก -

คงจะมีอะไรบางอย่างช่วยปลอบประโลมความคลุมเครือแห่งค่ำคืน...

เป็นไปได้, And you feel that it was rainin' all over this man's world...

--------

ดูเหมือนว่า โครงสร้างของสังคมไทยยังไม่พร้อมที่จะถ่างขาสอดรับจังหวะของปัจเจกชน เป็นตัวละครในจินตกรรม (Imagine) ของพวกเขา หากไม่เพราะยังรับไม่ได้กับความสัมพันธ์แบบชั่วข้ามคืนของปัจเจกชน ก็คงด้วยเหตุผลอื่นตามสถาวะหลากหลาย

คงจะไม่คุกคามกันเกินไปนัก เอกภาพ (Unity) ไม่มีอยู่จริง ถอยกลับไปก็ไม่เคยมีอยู่จริง เป็นได้ก็เพียงเชือกว่าวบางเบาพันเป็นเกลียว หมุนมัดรัดแน่นเป็นนาน เพียงเมื่อลมเอนกายก็ขาดผลุย สเปิร์มนับล้านมิเคยรั้งรอที่จะถกเถียงเรื่องการก่อตั้งสมาคมเอกภาพแห่งตัวพร้อมพันธุ์เพื่อความสงบสุขที่ปลายทางอันอบอ้าวในรังไข่

มันกลายเป็นสภาวะแปลกแยก (มิกล้าที่จะใช้ Alienation, ลืมไปซะ!!) ปัจเจกชนเกิดมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากที่หนึ่งและเพื่อมาเป็นส่วนเกินแปลกปลอมของที่นั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน จะเป็นไปได้ก็เพียงเก้าอี้ในบาร์เหล้า บทเพลงสักเพลงพอให้เดินกลับบ้านไหว ไม่ต้องแยแสกับการส่องแสง (Enlight) ทางการเมืองของทีวี

ผู้คนในเมืองใหญ่ สบตากัน เพียงเพื่อไปเป็นส่วนประกอบแห่งกาละและเทศะ เผื่อใครถามถึงหากห้วงเวลานั้นกลายเป็นประวัติศาสตร์ วัยรุ่นสุมหัวคุยกัน ความเห็นแยกย่อยคละคลุ้งลอยขึ้นอากาศ กระจัดกระจายไปเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติสังคมเมือง สิ่งอันเป็นสากลของสังคมเมือง

คงมิใช่วาตานาเบะ โทรุ ความผิดผูกพันต่อหญิงสาวคนหนึ่งจะทำให้เขาหัวใจสลาย เพียงอย่างเดียวยังยืนยันได้ "มีสองสิ่งที่ทำให้คนหัวใจสลาย, ความรักและความตาย" นี่ไม่ใช่เชิงอรรถของเพลโต แต่เป็นปลายทางของหัวใจที่รกร้างและสูญเปล่าไปกับลมหายใจ

"ความรักอาจเป็นสิ่งที่มีเหตุผลและไม่มีเหตุผล" โรแมนติกเป็นที่สุด

เมื่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวแล้วก็พร้อมที่จะสลัดความรักทิ้ง เหมือนยานอวกาศเมื่อพ้นโลกไปแล้วถีบกระสวยเชื้อเพลิงทิ้งและทำเป็นลืม ช่างเถอะ ปัญหานอกเตียงพวกนี้

The only truth have not been death, the day we leave alone!!

ภาพความตายช่างอาดูรเสมอ มันเหมือนตลกร้ายที่เกิดขึ้นเพียงชั่วยามและก็ไม่มีไอ้ง่าวตัวไหนออกมาเฉลยความจริงเลยสักตัว

----------