Tuesday, March 14, 2006

สัตว์ป่าเปลี่ยวร้างกลางฤดูผสมพันธุ์

- สารจากสมาชิก -

เสียงร่ำร้องโหยหวนของแม่สาวคนนั้น (เธอชื่อ Beth Gibbons--นางชะนี) พร้อมทั้งเสียงโห่ร้องของผู้ชมท่ามกลางบรรยากาศปลอมๆ ของการแสดงคอนเสิร์ตสำเร็จรูปบรรจุลงแผ่นเสียงพลันกลายเป็นอณูเสียงที่รบกวนโสตประสาทของผม กลายเป็นส่วนเกินระหว่างผมและคลื่นความคิดที่ไม่มีตัวตนของผม ผมไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน แต่ทว่ามันเกิดขึ้นเมื่อผมได้อ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ฉบับหนึ่งจบลง แต่เราควรเรียกมันเป็นฉบับจริงหรือ ผมไม่ค่อยแน่ใจ ในเมื่อมันไม่ได้ใส่ซองมาในรูปแบบที่คุ้นชิน และโลกที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ดูมันจะห่างไกลเหลือเกินจากวันที่ผมได้เรียนรู้กึ่งท่องจำจากคุณครูสมคิด พ่วงสีนวล ในห้อง ป. 2/3 ว่าลักษณะนามของจดหมายคือ "ฉบับ"

ที่มาที่ไปของปัจเจกชนคืออะไร??? เราเคยฝันกันถึงส่วนรวมมาก่อนไม่ใช่หรือ??? ปัจเจกชนมีแรงกระทำเท่ากับหนึ่งหน่วย--ที่ไม่สามารถเคลื่อนกงล้อแห่งประวัติศาสตร์ใดๆ ให้หมุนทับนายทุนได้ เอ๊ะ! ตาลุงเชียงกงคนรักแม่น้ำเจ้าพระยาผู้ที่เคยคิดขับเคลื่อนกงล้อที่บิดเบี้ยวอันนั้นมาก่อนก็เป็นปัจเจกชนนิยมสุดขั้วคนหนึ่งไม่ใช่หรือ? ในเมื่อคนระดับผู้นำเช่นนั้นมีทำนองชีวิตแบบนั้น ดังนั้นในภาวะหนึ่งหน่วยที่คับแคบนี้มันคงมีอะไรสำคัญอยู่บ้าง พูดให้ถูกคือท่ามกลางนาฏลีลาอันอ่อนช้อยแต่ซับซ้อนในจินตนาการของปัจเจกชนมันจะบรรจุเอาไว้ซึ่งพื้นที่ที่สำคัญบางอย่างระหว่างตัวของเรากับสิ่งรอบตัว

ในสภาวะที่เป็นเช่นนี้ ปัจเจกชนนิยมคงไม่ได้เป็นลัทธิที่ส่งเสริมความเป็นเอกภาพเท่าไรนัก! จริงหรือไม่ว่า ความไม่มีอยู่จริงของสิ่งที่เรียกว่าเอกภาพจึงเป็นสิ่งที่ก่อตัวในหัวใจของผู้คนที่มีบางห้วงยามจะดิ่งดำลึกลงสู่ "ห้วงเวลาแห่งตน" หาใช่ในใจของสาธุคุณผู้สงบและเจนธรรม

ความรัก? นี่เป็นสิ่งที่ควรกล่าวไว้บนบรรทัดนี้ว่า เป็นสิ่งที่มีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผลหรือ? ในเมื่อโลกปัจจุบันที่มีวิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์ที่อยู่เป็นแกนกลาง เราให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นความรู้สึกเท่าไรกัน? เราผลักไสเอาสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกนั้นออกจากปริมณฑลแห่งเหตุผลไปไกลแล้ว "ความรักคืออะไรใครตอบได้ช่วยตอบที" จึงเป็นสิ่งที่ควรบันทึกเอาไว้บนพื้นที่บนบรรทัดแห่งนี้เสียมากกว่า

เพลโต เพลโต เพลโต ไอ้คนกรีกริยำพรรค์นั้น รวมทั้งอาจารย์และศิษย์ของมันทิ้งอะไรไว้ให้กับโลกกันบ้าง นอกจากการทำให้เยาวชนเสียคน (corrupting the youth) รวมถึงผู้ใหญ่บางคนด้วย (หลักฐานคงหาดูได้ในคณะรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยริมน้ำเจ้าพระยา) นักคิดต่างๆ จะมีดีก็แค่ทำให้โลกที่สุขสงบจากการปกครองด้วยศาสนาและระบอบการเมืองสั่นคลอนและโงนเงนง่อนแง่นจากผู้คนที่หลงผิดไปเอาความคิดผิดๆ มาใช้เป็นตะเกียงส่องนำทาง แค่เพียงเราเดินๆ ตามกันไปและยอมรับชะตากรรมว่าโลกนี้มันก็เป็นเช่นนี้แล ชีวิตเป็นสิ่งธรรมดา--ธรรมดาเป็นที่สุดด้วยซ้ำ พระเจ้ายังคงอยู่ นิทเช่ต่างหากที่ตายไป (รวมถึงไอ้ง่าวของเอ็งด้วย) จำไว้!!! อิฐก้อนหนึ่งบนกำแพงคือสิ่งที่เราเป็น เท่านั้นเองจริงๆ

ใครจะอยู่ใครจะตายก็เป็นเรื่องธรรมดา ใครหัวเราะหรือร้องไห้ก็เป็นเรื่องธรรมดา ฝนมาก็กางร่มเสีย การยืนตากฝนโดยไม่หาที่หลบอิงกายขณะที่ปากพร่ำบ่นว่าไยฉันจึงเปียกฝนอยู่ร่ำไปคงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก

ไฮ้!!! แต่เรามันป็นคนรูทวารพรรค์นั้นไม่ใช่หรือ พรรค์ที่ร้องไห้คร่ำครวญสงสารตนเอง?....

3 Comments:

At 3/14/2006 9:15 PM, Anonymous Anonymous said...

โลดโผนโจนทะยานแต่เหงาหงอย!!!

 
At 3/14/2006 9:24 PM, Anonymous Anonymous said...

โปรดคงไว้ซึ่ง ชื่อเดิมของบทความด้วย จาก ผู้ประพันธ์

 
At 3/15/2006 11:46 AM, Blogger K. Samphan said...

ต้องขออภัย สายตาพร่าเลือน ไม่คิดว่าชื่ออีเมลที่ส่งมานั้นคือชื่อบทความของผู้ประพันธ์ แต่คิดไปคิดมาก็ไม่น่าง่าวถึงขนาดคิดว่าคงลืมใส่ชื่อมาให้ด้วย จึงพลาดท่าเผลอเรอไม่ได้ใส่ชื่อบทความ อันเป็นส่วนประกอบอันสำคัญยิ่ง

 

Post a Comment

<< Home