Tuesday, June 27, 2006

โลกของสุมิเระใน Sputnik Sweetheart


1

“ไม่มีมนุษย์คนไหนเดินทางผ่านชีวิตไปได้โดยไม่เคยลิ้มลองประสบการณ์โดดเดี่ยว อาจถึงขั้นเดียวดายเบื่อเหงาในป่ารกร้าง เขาจะพบว่า ต้องพึ่งพาตนเองเพียงสถานเดียว ห้วงเวลาเช่นนั้นจะสอนให้เขารู้จักพลังแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในตัว” (หน้า 16)

ข้อความของแจ็ก เครูแอ็ก ใน Lonesome Traveler ข้อความนี้ อาจเป็นคำอธิบายลักษณะเฉพาะของตัวละครในนวนิยายแทบทุกเรื่องของฮารูกิ มูราคามิ

วังเวง โดดเดี่ยว ในบริบทของสังคมที่เศรษฐกิจเจริญเติบโตถึงขีดสุด และผู้คนต่างมุ่งหวังครอบครองวัตถุเงินทองอย่างสังคมญี่ปุ่นยุคหลังสงคราม

ยุคแห่งการฟื้นฟูที่เอ่อล้นไปด้วยผลผลิต เทคโนโลยีอันทันสมัย และชีวิตความเป็นอยู่ที่สะดวกสบาย แต่สุดท้ายแล้ว การได้มากลับดูเหมือนไม่ต่างจากการสูญเสีย

ผู้คนต่างน้อมคารวะให้แก่การก่อกำเนิด แต่พวกเขาก็แทบจะไม่รู้ตัวว่าพิธีเซ่นสังเวยก็เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน

“ทำไมคนเราถึงได้เหงาขนาดนี้? คำอธิบายแท้จริงซ่อนอยู่ที่ไหน? คนบนโลกนับล้านคน ทุกผู้ทุกคนโหยหาใครสักคนที่จะมาปลอบประโลมใจให้คลายเหงา แต่ก็กระถดตัวหนี ปลีกตัวไปอยู่เดียวดาย ทำไม? เป็นไปได้หรือไม่ว่าโลกถูกส่งให้มาลอยดวงกลางอวกาศเวิ้งว้าง เพียงเพื่อให้เป็นที่พำนักของคนเหงา?” (หน้า 176)

อารมณ์ความรู้สึกของตัวละครในลักษณะนี้กลายเป็นแบบฉบับเฉพาะตัวในงานเขียนของมูราคามิ มันดึงดูดนักอ่านจำนวนหนึ่งให้หลงใหล แต่อีกจำนวนหนึ่งก็พร้อมใจกันเบือนหน้าหนี


2

ใน Sputnik Sweetheart (1999) มูราคามิยังคงอาศัยเรื่องราวเหนือจริงเป็นเครื่องมือช่วยถ่ายทอดเนื้อหาสาระของนวนิยายเช่นเดียวกับอีกในหลายๆ เรื่อง การหายตัวไป (เหมือนหมอกควัน) ของสุมิเระบนเกาะเล็กๆ ในทะเลอีเจียน เปิดโอกาสให้มูราคามิสามารถนำสุมิเระอีกคนหนึ่งออกมานำเสนอต่อผู้อ่าน—สุมิเระที่แนะนำตัวเธอเอง ไม่ใช่สุมิเระที่ผู้อ่านรู้จักผ่านคำบอกเล่าของ ‘ผม’

ก่อนที่จะลงมือเขียน A Wild Sheep Chase (1982) ผลงานชิ้นที่สาม มูราคามิตระหนักดีว่าเขาต้องการบอกเล่าเรื่องราวที่ต่อเนื่องจากผลงานสองชิ้นแรก (Hear the Wind Sing [1979] และ Pinball, 1973 [1980]) ซึ่งนั่นทำให้เขาค้นพบว่าพลังของเรื่องราวเหนือจริงจะช่วยให้เขาทำเช่นนั้นได้ มูราคามิเคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “บางครั้งคุณก็ต้องการอะไรบางอย่าง—บางอย่างที่เหนือธรรมชาติหรือแปลกประหลาด—เพื่อทำให้มันเป็นจริงมากขึ้น ผมรู้ว่าใน A Wild Sheep Chase เรื่องราวดูเหมือนจะจับต้องสัมผัสได้มากขึ้นเมื่อมนุษย์แกะปรากฏตัว แม้ว่าตัวมนุษย์แกะเองจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงก็ตาม ผมชอบแบบนั้น”

การหายตัวไปของสุมิเระอาจไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ เธออาจกำลังสับสนจนต้องลุกออกไปเดินเล่นคนเดียว เธออาจประสบอุบัติเหตุหรือถูกทำร้าย เหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นกับใครในที่ไหนๆ ก็ได้ในโลก ศพของเธอหาไม่พบ และตำรวจก็จนปัญญาจะสะสางเรื่องราว เธอกลายเป็นผู้สูญหาย เมื่อเวลาผ่านเลยไป เธอกลายเป็นเพียงความทรงจำของญาติพี่น้องและคนรู้จัก ก่อนที่จะถูกลืมเลือน

แต่ถ้าแก่นแท้ของเรื่องราวเหนือจริงในนวนิยายของมูราคามิคือการทำหน้าที่นำพาผู้อ่านไปสู่อะไรบางอย่าง การหายตัวไปของสุมิเระก็อาจเป็นประตูที่มูราคามิใช้สำหรับนำพาผู้อ่านเข้าไปสู่โลกของตัวเธอเอง—โลกของ ‘ผม’ โลกของมิว และโลกของเราทุกคน


3

นวนิยายลำดับที่เก้าของมูราคามิเกริ่นนำด้วยการบอกเล่าถึงชะตากรรมของไลก้า—เยอรมันเชฟเพิร์ด—สิ่งมีชีวิตแรกที่มีโอกาสก้าวพ้นชั้นบรรยากาศของโลก ออกโคจรพร้อมกับดาวเทียมสปุตนิก II ของสหภาพโซเวียต ...ชั่วนิรันดร์

สปุตนิก II—ทรงกลมโลหะเส้นผ่านศูนย์กลาง 58 เซนติเมตร น้ำหนัก 83.6 กิโลกรัม—และไลก้า เป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่มูราคามิใช้เป็นสื่อในการแสดงความรู้สึกของตัวละคร เป้าหมายทางด้านการวิจัยทางชีววิทยาอาจสร้างความตื่นเต้นให้กับนักวิทยาศาสตร์เพียงไม่กี่คน และผลการวิจัยก็แทบจะกลายเป็นความลับของคนทั้งโลก แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ ในฐานะของมนุษย์ธรรมดาบนโลกใบนี้ มูราคามิเห็นว่าดาวเทียมกับสุนัขตัวหนึ่งส่งผ่านความหมายมากมายกว่านั้น

“เหมือนเขื่อนแตกเลย สุมิเระนอนซบหมอนร้องไห้จนตัวโยนอยู่นาน เธอร้องไห้ ฉันนั่งลูบหลังให้ ลูบจากหัวไหล่มาถึงบั้นเอว ปลายนิ้วแตะกระดูกทุกท่อน ฉันอยากร่วมร้องไห้ แต่ก็ทำไม่ได้

“นั่นเองที่ฉันตระหนักถึงความหมายแท้จริง...เพื่อนเดินทาง เราสองเป็นเพื่อนเดินทางวิเศษสุด แต่ในท้ายที่สุด ก็เป็นได้เพียงแค่ทรงกลมโลหะอัปลักษณ์ แยกย้ายกันหมุนเคลื่อนไปตามวงทางโคจรเฉพาะตัว มองจากระยะไกล ดูสุดสวยเหมือนดาวตกพุ่งวาบข้ามฟ้า แต่ในความเป็นจริง ก็เป็นแต่เพียงคุก กักขัง ขังเดี่ยว เดินทางไปไร้จุดหมาย เมื่อใดที่วงทางโคจรตัดข้ามกัน เราก็ร่วมทางกันได้ชั่วอึดใจ อาจเปิดหัวใจตีแผ่ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับทราบ เพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะทันรู้ตัว เราก็พุ่งวาบไปในความเปลี่ยวเหงา โดดเดี่ยวอ้างว้าง จนกว่าเราจะตกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ เผาไหม้เป็นจุณ” (หน้า 117)


4

เรื่องราวของหญิงรักหญิงเป็นแง่มุมที่มูราคามิยังไม่เคยสำรวจมาก่อน และเมื่อเขาลงมือ ผลที่ออกมาก็อยู่เหนือการคาดเดา

สุมิเระอายุ 22 ปี เลิกเรียนมหาวิทยาลัยกลางคัน พร้อมกับความมุ่งมั่นตั้งใจจะเป็นนักเขียนให้จงได้ ‘ผม’ เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเธอ ความสัมพันธ์เริ่มต้นจากความหลงใหลในการอ่านของทั้งคู่ ‘ผม’ หลงรักสุมิเระ แต่สุมิเระหลงรักผู้หญิงที่อายุมากกว่าเธอ 17 ปี และไม่มีความกระหายอยากทางเพศกับผู้ชาย

“ในเสี้ยววินาทีที่มิวขยี้เส้นผม สุมิเระตกหลุมรักด่วนฉับพลัน ประหนึ่งว่ากำลังเดินไปกลางทุ่ง ตูม! สายฟ้าพุ่งผ่าลงมากลางหัว ละม้ายคล้ายการดลบันดาลเชิงศิลปะ ซึ่งก็เป็นเหตุผลว่า ทำไมสุมิเระไม่เสียเวลาใส่ใจว่า ผู้ที่หลงรักเป็นสตรี” (หน้า 19)

มิวชวนสุมิเระมาช่วยงานในธุรกิจนำเข้าไวน์ของเธอ ทั้งคู่ออกตระเวนยุโรปเพื่อติดต่อธุรกิจด้วยกัน อิตาลี ฝรั่งเศส ก่อนจะสิ้นสุดที่เกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งในกรีซ ที่ที่สุมิเระหายตัวไป—เหมือนหมอกควัน

‘ผม’—ครูโรงเรียนประถม เพื่อนคนเดียวของสุมิเระ—ได้รับการติดต่อจากมิวให้ไปช่วยตามหาสุมิเระที่กรีซ หลังจากความพยายามในการค้นหาดูจะไร้ความหมาย ‘ผม’ ตัดสินใจเสนอทฤษฎีที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด

“สุมิเระเดินข้ามไปยังโลกฟากโน้นแล้ว” (หน้า 162)


5

“หนูรู้ไหมว่าครูอยากทำอะไรมากที่สุดในตอนนี้?” ‘ผม’ คุยกับแคร็อต—ลูกศิษย์ในชั้นเรียนที่เพิ่งขโมยของในห้างสรรพสินค้า “ครูอยากจะปีนขึ้นไปยังที่สูง เช่น ยอดพีระมิด สูงที่สุดเท่าที่จะหาได้ จะได้มองไปให้ไกลที่สุด ยืนอยู่บนยอดสุดสูง กวาดสายตามองรอบโลก มองภาพทิวทัศน์ มองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตาตนเองว่ามีสิ่งใดสูญหายไปจากโลกนี้บ้างแล้ว ไม่รู้ซี...จริงแล้วครูอาจจะไม่ต้องการมองอะไรอีก ไม่อยากเห็นอะไรอีกแล้วในชีวิตนี้” (หน้า 189)

การตามหาสิ่งที่ ‘สูญหาย’ เป็นสาระสำคัญอีกอย่างหนึ่งในนวนิยายของมูราคามิ ใน Sputnik Sweetheart นอกจากการหายตัวไปของสุมิเระแล้ว เรายังพบกับมิวที่สูญเสียมิวคนเดิมไปตั้งแต่เมื่อ 14 ปีก่อน พบกับสุมิเระที่ฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงแม่ของเธอที่ถูกดูดหายไปในโลกอีกฟาก พบกับแมวที่กระโจนขึ้นต้นไม้โดยไม่ยอมกลับลงมาอีก พบกับ ‘ผม’ ในวัยเด็กที่สูญเสียเพื่อนที่ดีที่สุดไป และพบกับเพื่อนสาวของ ‘ผม’ ที่ต้องเสีย ‘เพื่อนร่วมทาง’ ในท้ายที่สุด

การสูญเสียแต่ละครั้งนำมาสู่การเปลี่ยนแปลง และหน้าที่ของมนุษย์ก็คือการก้มหน้ารับมือกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น มันอาจจะดูเหมือนไร้ความหมายหากเรามีหน้าที่เพียงการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอันไร้ที่สิ้นสุด ยอมให้ความไม่แน่นอนกลายเป็นสัจธรรมหุ้มห่อชีวิต แต่ใครจะกล้าปฏิเสธ ว่าแท้จริงแล้ว คุณค่าที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่การดลบันดาล แต่อยู่ที่ความสามารถในการจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้น

มูราคามิตอบคำถามที่ถามถึงแรงบันดาลใจในการเขียนนวนิยายเรื่องนี้ว่า “อะไรที่ทำให้ผมเขียนนวนิยายเรื่องนี้หรือ? ผมไม่รู้ เรื่องราวมันเดินทางมาหาผมอย่างเป็นธรรมชาติมาก มันเป็นมากกว่า ‘เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับคนประหลาด’ หรือ ‘เรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นกับคนธรรมดา’ ผมชอบ ‘เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับคนธรรมดา’ ”


6

‘ผม’ พบแผ่นฟล็อปปี้ในกระเป๋าเดินทางของสุมิเระ ในแผ่นมีไฟล์สองไฟล์ และมันอาจเป็นกุญแจดอกสุดท้ายที่จะใช้ไขปริศนาการหายไปของตัวเธอได้

ทั้งสองไฟล์มีจุดร่วมบางอย่าง ไฟล์แรกบอกเล่าความฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกี่ยวกับแม่ของสุมิเระ เธอไต่บันไดขึ้นไปพบกับแม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อขึ้นไปถึง ร่างของแม่ถูกดูดหายเข้าไปในโลกฟากโน้น สุมิเระไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้ ไฟล์ที่สองเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับมิวเมื่อ 14 ปีก่อน เธอติดอยู่ในกระเช้าชิงช้าสวรรค์ตลอดทั้งคืน เธอใช้กล้องส่องหน้าต่างอพาร์ตเมนต์ของเธอ มองเห็นตัวเธอเองอีกคนหนึ่งอยู่ในห้อง ประสบการณ์นี้ทำลายความเป็นมนุษย์ของเธอ “...อย่างน้อยที่สุด บาดแผลการทำลายล้างก็สาหัสจับต้องได้ ร่างของเธอแตกเป็นสองเสี่ยง มีกระจกเงากางกั้นคั่นระหว่างกลาง...” (หน้า 161)

หลังจากการครุ่นคิดใคร่ครวญ ทฤษฎีที่ว่าสุมิเระเดินข้ามไปยังโลกฟากโน้นแล้วจึงถือกำเนิด

“แนวคิดนี้อธิบายเรื่องราวได้เกือบทั้งหมด สุมิเระทำลายกระจกเงา เดินข้ามไปยังโลกฟากโน้น เดินทางไปเสาะหามิวอีกครึ่งซีกที่ยังหลงอยู่ที่นั่น...หากมิวในโลกนี้ไม่รับรักเธอ ทางเลือกเช่นว่าก็น่าจะสมเหตุสมผลเป็นที่สุด” (หน้า 162)

โลกฟากนี้ โลกฟากโน้น โลกฟากไหนคือโลกที่เราอาศัยอยู่

หรือเราต่างมีโลกคนละสองฟาก โลกที่เปิดเผยกับโลกที่ซ่อนเร้น โลกแห่งความจริงกับโลกแห่งความฝัน โลกที่งดงามกับโลกที่โหดร้าย

โลกของมิวในทุกวันนี้กับโลกของมิวเมื่อ 14 ปีก่อน โลกของ ‘ผม’ ก่อนและหลังการหายตัวไปของสุมิเระ ...หรือโลกของสุมิเระกับมิวสองคนที่อยู่คนละฟาก

“ฟ้าเหนือยอดเขาโปร่ง ดวงจันทร์ขยายขนาด มหึมาแทบเต็มฟ้า ลอยดวงหินแกร่งกลางอวกาศเวิ้งว้าง ผิวหน้าปุปะกร่อนหายไปในห้วงเวลาไร้เมตตา เงาดำมืดลายเค้าโครงน่าสะพรึงกลัว เป็นมะเร็งเนื้อร้ายที่ยื่นรยางค์ออกมาคว้าจับไออุ่นของสิ่งที่มีชีวิต แสงจันทร์ดัดเสียงให้ผิดเพี้ยน ชำระล้างความหมายทั้งมวลให้เหลือเพียงความสับสนโกลาหลจู่โจมเข้ามา ขับห้วงความคิดให้กระเจิง นี่เองที่ทำให้มิวมองเห็นร่างอีกซีกของเธอ นี่เองที่เป็นตัวการลักพาตัวแมวของสุมิเระ นี่เองที่ทำให้สุมิเระหายตัวไป และนี่เองที่เชื้อเชิญให้ผมเดินเท้ามาถึงยอดเขา กล่อมด้วยดนตรีแว่วหวานกลางดึก ...ดนตรีที่อาจไม่มีอยู่จริง เบื้องหน้าของผมเป็นหล่มความมืดล้ำลึกไร้ก้น เบื้องหลังเป็นโลกแสงเรื่องซีดจาง ผมยืนอยู่บนยอดเขาต่างแดน ร่างอาบอยู่ในแสงจันทร์ขาวโพลน บางทีเรื่องราวทั้งหมดผ่านการวางแผนไว้รอบคอบ...ตั้งแต่เริ่มต้น” (หน้า 168)


เผยแพร่ครั้งแรก: คอลัมน์ open through ใน www.onopen.com

0 Comments:

Post a Comment

<< Home