Monday, May 08, 2006

การล่มสลายของอาณาจักรโรมัน, การลุกขึ้นสู้ของชาวอินเดียแดงในปี 1881, การโจมตีโปแลนด์ของฮิตเลอร์, และเขตแดนของสายลมโหมกระพือ

แปลจาก The Fall of the Roman Empire, The 1881 Indian Uprising, Hitler’s Invasion of Poland, and The Realm of Raging Winds ใน The Elephant Vanishes

โดย Haruki Murakami


1.
การล่มสลายของอาณาจักรโรมัน

สิ่งแรกที่ผมรับรู้คือสายลมที่เริ่มพัดโชยในช่วงเวลากลางวันของวันอาทิตย์ หรือหากระบุให้ชัดเจนแม่นยำ ก็ต้องบอกว่ามันเป็นเวลาบ่าย 2 โมง 7 นาที

ในช่วงเวลาเช่นนี้ ไม่ต่างจากที่ผ่านๆ มา—ภารกิจหน้าที่ของผมในทุกกลางวันของวันอาทิตย์—ผมนั่งลงกับโต๊ะในห้องครัว ฟังเพลงอ่อนนุ่มเสนาะโสต พร้อมๆ กับบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดทั้งสัปดาห์ลงในสมุดบันทึก ผมจดบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ก่อนที่จะลงมือเขียนทั้งหมดอีกครั้งในวันอาทิตย์

ผมเพิ่งเขียนไปได้ถึงวันอังคารในตอนที่รู้สึกว่ามีเสียงของสายลมพัดผ่านหน้าต่าง ผมหยุดเขียนบันทึก สวมปลอกปากกา และเดินออกไปที่ระเบียงเพื่อเก็บเสื้อผ้าที่ตากอยู่ วัตถุที่พาดอยู่กับราวล้วนพลิ้วสะพัด กระพือพัดส่งเสียงแข็งกระด้าง ปลดปล่อยส่วนปลายของดาวหางไหลเป็นสายพุ่งสู่ฟากฟ้า

เมื่อผมเริ่มเกิดความสงสัย สายลมก็ดูเหมือนจะอพยพหลบหน้าไปสิ้น ปล่อยให้เสื้อผ้าแขวนห้อยเหมือนกับเมื่อช่วงเช้า—10 โมง 18 นาที หากต้องการความถูกต้องแม่นยำ—ตอนที่ไม่มีแม้เสียงกระซิบแผ่วบางของสายลม ในตอนนั้นความทรงจำของผมผนึกแน่นราวกับฝาปิดเตาหลอม เพราะหลังจากนั้นเล็กน้อย ผมก็คิดว่าที่หนีบผ้าไม่มีความจำเป็นสำหรับวันที่นิ่งสงบแบบนี้

ด้วยความสัตย์จริง ณ ห้วงเวลานั้นไร้สิ้นซึ่งการเดินทางของสายลม

หลังจากเก็บเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ผมก็ปิดหน้าต่างทุกบานในอพาร์ตเมนต์ เมื่อหน้าต่างถูกปิดหมดแล้ว ผมก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงของสายลม ภาพภายนอกซึ่งปราศจากเสียง ต้นไม้—ส่วนใหญ่เป็นต้นสนหิมาลายันกับต้นเกาลัด—บิดสะบัดไปมาราวกับสุนัขที่กำลังต่อสู้กับอาการคันที่ยากจะควบคุม กลุ่มเมฆก้อนน้อยเคลื่อนผ่านผืนฟ้าก่อนลับหายเหมือนสายลับแววตาเจ้าเล่ห์ ขณะที่เสื้อเชิ้ตหลายตัวหมุนพันตัวเองอยู่กับราวตากผ้าพลาสติกบนระเบียงของอพาร์ตเมนต์ฝั่งตรงข้าม จับยึดเหนียวแน่นราวกับเด็กกำพร้าผู้ถูกทอดทิ้ง

สายลมช่างพัดแรงจริงๆ ผมคิด

เปิดหนังสือพิมพ์ตรวจสอบสภาพอากาศ ผมไม่พบคำเตือนของไต้ฝุ่น 30% คือความเป็นไปได้ที่ฝนจะตก ช่วงเวลากลางวันอันสุขสงบของวันอาทิตย์ ไม่ต่างจากคืนวันอันรุ่งเรืองของอาณาจักรโรมัน คาดเดาว่ามันเป็นแบบนั้น

ผมถอนหายใจเบาๆ อาจจะซัก 30% ของการถอนหายใจปกติ ปิดหนังสือพิมพ์ พับเสื้อผ้าเก็บใส่ลิ้นชัก ชงกาแฟไปพร้อมๆ กับฟังเพลงเสนาะโสตเช่นเดิม หลังจากนั้นผมกลับมาเขียนบันทึกต่อ โดยมีถ้วยกาแฟอยู่ข้างๆ

วันพฤหัสบดี ผมร่วมรักกับแฟน เธอชอบใส่ผ้าปิดตาระหว่างการร่วมรัก เธอจะพกมันไว้ในกระเป๋าเสมอเพียงเพื่อจุดประสงค์นี้

อันที่จริงมันก็ไม่เกี่ยวกับผม แต่เธอก็ดูน่ารักดีตอนที่ใส่ผ้าปิดตา ผมไม่มีสิทธิ์คัดค้านในเรื่องนี้ เพราะท้ายที่สุด เราต่างก็เป็นมนุษย์ปุถุชน และแต่ละคนล้วนมีบางอย่างตกทอดมาจากที่ไหนซักแห่ง

ทั้งหมดนี้น่าจะเพียงพอสำหรับบทบันทึกของวันพฤหัสบดี เรื่องจริง 80% ที่เหลืออีก 20% เป็นความเห็นสั้นๆ นโยบายส่วนตัวในการเขียนบันทึกของผม

วันศุกร์ ผมไปพบเพื่อนเก่าที่ร้านหนังสือกินซ่า เขาสวมเนกไทหลุดยุคพ้นสมัย หมายเลขโทรศัพท์เป็นสิ่งเดียวที่ปรากฏบนแถบริ้วพื้นหลัง—ผมเขียนมาถึงตรงนี้ตอนที่เสียงโทรศัพท์ดัง


2.
การลุกขึ้นสู้ของชาวอินเดียแดงในปี 1881


เข็มนาฬิกาบอกเวลาบ่าย 2 โมง 36 นาทีตอนที่เสียงโทรศัพท์ดัง ผมคิดว่าอาจเป็นเธอ—เพื่อนสาวกับผ้าปิดตา—เธอจะมาหาผมทุกวันอาทิตย์ และก็มักจะโทร.มาก่อนเสมอ มันเป็นหน้าที่ของเธอสำหรับอาหารมื้อเย็น เย็นนี้เราเลือกหอยนางรมกระทะร้อน

อย่างไรก็ตาม มันเป็นเวลาบ่าย 2 โมง 36 นาทีตอนที่เสียงโทรศัพท์ดัง ผมวางนาฬิกาไว้ข้างๆ โทรศัพท์ ด้วยวิธีนี้ผมจึงเห็นนาฬิกาเสมอเวลาจะรับโทรศัพท์ เพราะฉะนั้น ผมจดจำเวลาได้แม่นยำสมบูรณ์แบบ

เมื่อผมยกหูโทรศัพท์ สิ่งที่ได้ยินคือเสียงสายลมโหมกระหน่ำกึกก้องกัมปนาทราวกับอยู่ในสงครามของชาวอินเดียแดงในปี 1881 พวกเขาเผาทำลายที่พักของเหล่าผู้บุกเบิก ตัดสายโทรเลข ข่มขืนแคนดิช เบอร์เกน

“ฮัลโหล?” ผมรับสาย แต่เสียงโดดเดี่ยววังเวงของผมจมหายไปในความอึกทึกครึกโครมของประวัติศาสตร์ที่แผ่คลุมบดบัง

“ฮัลโหล? ฮัลโหล?” ผมตะโกนส่งเสียง แต่ก็ไร้วี่แวว

หูของผมเริ่มรับไม่ไหว สิ่งที่พอจะจับความได้ฟังคล้ายเสียงแผ่วจางของหญิงสาวที่แหวกผ่านสายลม หรือมันอาจเป็นเสียงอะไรบางอย่าง แต่ไม่ว่าจะเป็นเสียงอะไร สายลมก็พัดกระหน่ำจนยากจะคาดเดา และผมเดาว่าไอ้ทุยหลายตัวน่าจะฟุบคาพื้นไปแล้ว

ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ได้แต่ยืนพร้อมแนบหูโทรศัพท์กับหู หนักหน่วงและรวดเร็ว ผมมุ่งสมาธิทุ่มเทไปที่หู ผมเกือบคิดว่ามันคงไม่มีทางไขปริศนาได้แล้ว หลังจากนั้นประมาณ 15-20 วินาที เสียงโทรศัพท์ก็ขาดหายราวกับชีวิตที่เลือนดับในวินาทีของการจู่โจม สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงความเงียบอันกลวงเปล่าว่างโหวง ปราศจากความอบอุ่นเหมือนกางเกงในซีดจาง


3.
การโจมตีโปแลนด์ของฮิตเลอร์

ช่างหัวมัน ผมถอนหายใจอีกครั้ง และเริ่มเขียนบันทึกต่อไป ตั้งใจว่าจะทำให้ได้ดีกว่าแค่การบันทึกข้อมูล

วันเสาร์ หน่วยรบติดอาวุธของฮิตเลอร์บุกโจมตีโปแลนด์ ทิ้งระเบิดใส่กรุงวอร์ซอว์—

ไม่ ไม่ได้เป็นเช่นนั้น นั่นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น การบุกโจมตีโปแลนด์ของฮิตเลอร์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน ปี 1939 ไม่ใช่เมื่อวานนี้ หลังจากมื้อเย็นของเมื่อวาน ผมไปดูเมอริล สตรีฟ ใน Sophie’s Choise การบุกโจมตีโปแลนด์ของฮิตเลอร์เป็นเพียงเหตุการณ์ในหนัง

ในหนัง เมอริล สตรีฟ หย่ากับดัสติน ฮอฟฟ์แมน หลังจากนั้นเธอก็พบกับวิศวกรที่แสดงโดยโรเบิร์ต เดอ นีโร เธอแต่งงานใหม่กับเขา มันเป็นหนังที่น่าพอใจ

ที่นั่งข้างผมเป็นเด็กนักเรียน ม.ปลายสองคน ทั้งคู่สัมผัสหน้าท้องของกันและกันตลอดทั้งเรื่อง ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรอยู่แล้ว หน้าท้องของเด็กนักเรียน ม.ปลาย แม้แต่ผมก็เคยมีหน้าท้องของเด็กนักเรียน ม.ปลาย


4.
และเขตแดนของสายลมโหมกระพือ


หลังจากเสร็จสิ้นการจัดเรียงเรื่องราวอันมีค่าของสัปดาห์ที่ผ่านมาลงในสมุดบันทึก ผมนั่งลงหน้าชั้นแผ่นเสียง เลือกเพลงสำหรับช่วงกลางวันของวันอาทิตย์ที่อบอวลไปด้วยสายลม ผมหยิบเซลโล่ คอนแชร์โตของโชสตาโควิช กับอัลบั้มของ Sly and the Family Stone ทั้งคู่น่าจะเหมาะกับวันที่สายลมโหมกระพือ ผมฟังเพลงทั้งสองชุดไล่เรียงต่อเนื่องกัน

มีสิ่งของถูกกราดกระหน่ำผ่านหน้าต่างอยู่เป็นระยะ กระดาษขาวลอยละลิ่วจากฟากตะวันตกมุ่งสู่ฟากตะวันออก เหมือนกับหมอผีกำลังทำพิธีเป่าเสกน้ำยาวิเศษต้มจากรากไม้และสมุนไพร ดีบุกบางยาวหักงอ เหมือนกับผู้กระตือรือร้นในรายละเอียดเรื่องเพศ

ผมกำลังชมทิวทัศน์ภายนอกพร้อมๆ กับเซลโล่ คอนแชร์โตของโชสตาโควิชเมื่อตอนที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง นาฬิกาปลุกข้างโทรศัพท์บอกเวลา 15.48 น.

ผมยกหูโทรศัพท์ เตรียมพร้อมสำหรับเสียงคำรามของเครื่องยนต์โบอิ้ง 747 แต่คราวนี้ไม่มีเสียงสายลมกรรโชกให้ได้ยิน

“ฮัลโหล” เธอพูด

“ฮัลโหล” ผมพูดตอบ

“ฉันกำลังมุ่งหน้าไปพร้อมกับเครื่องปรุงของหอยนางรมกระทะร้อน โอเค?” แฟนของผมบอก เธอกำลังเดินทางมาพร้อมกับข้าวของและผ้าปิดตา

“ไม่มีปัญหา แต่—”

“คุณมีหม้ออบหรือเปล่า?”

“มี แต่...” ผมตอบ “เกิดอะไรขึ้น ผมไม่ได้ยินเสียงลมอีกแล้ว”

“ใช่ ลมหยุดแล้ว ที่นากาโน มันหยุดพัดไปเมื่อตอนบ่าย 3 โมง 25 นาที ฉันคิดว่าที่นั่นก็คงจะหยุดในไม่ช้านี้”

“น่าจะอย่างนั้น” ผมตอบก่อนวางหูโทรศัพท์ จากนั้นจึงหยิบหม้ออบลงมาจากชั้นเก็บของและล้างมันในอ่างล้างจาน

เป็นดั่งที่เธอทำนายเอาไว้ สายลมจากไปเมื่อเวลา 16.05 น. ผมเปิดหน้าต่างและมองออกไปข้างนอก หมาสีดำกำลังจดจ่อดมกลิ่นพื้นดินอยู่ข้างล่าง ผ่านไป 15-20 นาที เจ้าหมายังไม่แสดงอาการเบื่อหน่ายเมื่อยล้าให้เห็น ผมนึกไม่ออกว่าทำไมมันถึงมุ่งมั่นตั้งใจได้ขนาดนั้น

ยกเว้นเรื่องนี้ โลกยังคงหมุนเคลื่อนไปไม่ต่างจากเมื่อตอนที่สายลมเริ่มพัด ต้นสนหิมาลายันกับเกาลัดยังตั้งตรงอยู่ตรงนั้น วางเฉยเย็นชาราวกับไม่เคยมีอะไรพัดผ่าน เสื้อผ้ายังแขวนห้อยอยู่กับราวตากผ้าพลาสติก นกกากระพือปีกอยู่บนเสาโทรศัพท์ จงอยปากมันวาวราวบัตรเครดิต

ในระหว่างนี้ แฟนของผมก็มาถึงและเริ่มเตรียมอาหาร เธออยู่ในครัว ล้างหอยนางรม หั่นกะหล่ำปลีจีนคล่องแคล่ว เตรียมโตฟูด้วยความปราณีต ต้มน้ำซุป

ผมถามว่าเธอโทร.มาเมื่อ 14.36 น. หรือเปล่า

“ฉันโทร.มา” เธอตอบขณะกำลังซาวข้าวในหม้อกรอง

“ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย” ผมบอก

“ใช่ ลมพัดน่ากลัวมาก” เธอบอกข้อมูลความจริง

ผมหยิบเบียร์จากตู้เย็นและนั่งลงจิบที่ขอบโต๊ะ

“แต่... ทำไมอยู่ดีๆ สายลมก็พัดกระหน่ำ แล้วก็พัดอีกครั้ง อะไรแบบนั้น มันไม่มีอะไรจริงๆ หรือ?” ผมสงสัย

“จะให้ฉันตอบคุณยังไง” เธอบอก หันมาเผชิญหน้ากับผมขณะที่มือกำลังแกะเปลือกกุ้ง “มีตั้งหลายเรื่องที่เราไม่รู้เกี่ยวกับลม เช่นเดียวกับมีอีกตั้งหลายเรื่องที่เราไม่รู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคโบราณ หรือมะเร็ง หรือพื้นมหาสมุทร หรืออวกาศ หรือเซ็กซ์”

“อืมม” ผมคราง มันไม่มีคำตอบ ดูเหมือนโอกาสจะเหลือไม่มากนักสำหรับการสานต่อบทสนทนาบทนี้กับเธอ ดังนั้น ผมจึงนิ่งเงียบ เฝ้ามองกระบวนการทำหอยนางรมกระทะร้อนต่อไป

“ถ้างั้น ผมขอจับหน้าท้องคุณได้ไหม?” ผมถาม

“เอาไว้วันหลัง” เธอตอบ

ในที่สุดหอยนางรมกระทะร้อนก็เสร็จเรียบร้อย ผมตัดสินใจประมวลเหตุการณ์ประจำวันอย่างย่อ เตรียมพร้อมสำหรับการเขียนบันทึกในสัปดาห์หน้า นี่คือสิ่งที่ผมจดเอาไว้

· การล่มสลายของอาณาจักรโรมัน
· การลุกขึ้นสู้ของชาวอินเดียนแดงในปี 1881
· การโจมตีโปแลนด์ของฮิตเลอร์

เพียงเท่านี้ สัปดาห์หน้าผมก็จะสามารถบอกได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในวันนี้บ้างอย่าง ถูกต้องแม่นยำด้วยระบบอันละเอียดรอบคอบของผม ผมเขียนบันทึกมา 22 ปีโดยไม่พลาดแม้ซักวัน เก็บทุกรายละเอียดของทุกการกระทำทรงความหมายด้วยระบบของผมเอง ไม่ว่าจะมีสายลมหรือไม่ก็ตาม นั่นคือวิถีชีวิตของผม

หมายเหตุ: ผู้อ่านท่านใดที่มีต้นฉบับภาษาอังกฤษของเรื่องสั้นเรื่องนี้ จะเป็นพระคุณอย่างสูงหากจะช่วยตรวจทานและเสนอแนะความหมายที่ถูกต้องและเหมาะสมกว่าที่ผมได้แปลไว้ เพราะมีหลายคำและหลายประโยคที่ผมจนปัญญาจะแปลออกมาได้ตรง (ทั้งตามตัวอักษรและอารมณ์ความรู้สึก) ตามต้นฉบับภาษาอังกฤษครับ

0 Comments:

Post a Comment

<< Home