Monday, December 19, 2005



เมฆหมอกพาดผ่าน กาลเวลาพลัดหาย

อ้างว้างเปล่าดาย จุดหมายมืดมน


เขาล้มตัวลงนอนเหม่อมองแผ่นฟ้าเมื่อดวงตะวันเริ่มโรยแสง บรรยากาศยามเย็นทำให้จิตใจของเขาผ่อนคลายลงและเปิดโอกาสให้เขาได้ครุ่นคิดถึงช่วงชีวิตที่ผ่านเลยมา

เบื้องหน้าของเขาเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ มันกำลังสะท้อนเงาของขุนเขาสีดำทะมึนที่อยู่ถัดออกไป เส้นขอบของขุนเขาสีดำตัดกับแผ่นฟ้าที่ฉาบทาสีแดงส้มเบื้องบน ให้ความรู้สึกราวกับกำลังชมงานศิลปะของจิตรกรนิรนาม ฝูงนกกำลังโผบินประดับฟากฟ้า และมวลหมู่แมลงเริ่มต้นบรรเลงบทเพลงยามสนธยา


เขาปลีกตัวออกมาเดินเล่นคนเดียวหลังจากงานประจำวันเสร็จสิ้นลง งานที่เริ่มต้นตั้งแต่เก้าโมงเช้าไปสิ้นสุดเอาในเวลาบ่าย หนุ่มสาวหลากหลายที่มาและความคิดสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปทำหน้าที่ที่แต่ละคนได้รับมอบหมาย ตั้งแต่หุงข้าว ทำกับข้าว เลี้ยงเด็ก และบางส่วนต้องออกไปกรำแดดก่อสร้างศาลากลางของหมู่บ้าน

ชีวิตประจำวันบางส่วนของพวกเขา ณ หมู่บ้านแห่งนี้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่อยู่ที่กรุงเทพฯ แต่นอกเหนือจากเวลางาน แต่ละคนก็มีเวลาว่างที่จะเลือกทำกิจกรรมที่ตนสนใจ หลายคนเคยผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่เคยสัมผัสกับวิถีชีวิตเช่นนี้มาก่อน พวกเขาออกเดินทางมาด้วยกันพร้อมๆ กับความหวัง ความฝัน และความมุ่งมั่นตามประสาคนหนุ่มสาวที่ชีวิตยังต้องการสิ่งเติมเต็ม

เกือบสองสัปดาห์แล้วที่แต่ละคนได้หลุดพ้นจากวิถีชีวิตของคนเมือง และส่วนใหญ่กำลังเพลิดพลินอยู่กับวิถีชีวิตใหม่ที่ไม่คุ้นเคย สำหรับเขาแล้ว การที่ได้มาอยู่ที่นี่มันเป็นเหมือนการได้รับพรจากสวรรค์ มันทำให้เขามีชีวิตชีวา กระตือรือร้น และเบิกบานใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน


เย็นวันนั้น...

หลังจากงานประจำวันเสร็จสิ้นลง เขาเดินกลับมานั่งพักเหนื่อยที่บ้านซึ่งเขาขออาศัยเป็นที่หลับนอนตลอดระยะเวลาของการใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ บ้านหลังนี้มีเจ้าของบ้านเป็นยายและหลานอีก 3 ชีวิต พ่อกับแม่ของเด็กๆ ทิ้งลูกไปทำงานในกรุงเทพฯเช่นเดียวกับอีกหลายๆ ครอบครัว ประชากรส่วนใหญ่ของที่นี่จึงมีแต่เด็กและคนชรา

ช่วงขณะนั้น ในหมู่บ้านเต็มไปด้วยจักจั่นส่งเสียงร้องระงมไปทั่ว และสำหรับเด็กๆ ที่นั่น การจับจักจั่นก็เป็นความเพลิดเพลินอีกอย่างหนึ่งของชีวิตลูกทุ่ง แถมจับมาแล้วยังเอามาคั่วกินได้อีก เขาเองด้วยความที่อยากหากิจกรรมทำกับน้องๆ เลยออกตัวไว้กับน้องร่วมบ้านทั้งสามว่าถ้ามีโอกาสขอติดตามออกไปไล่จับจักจั่นด้วยคน

โอกาสนั้นมาถึงในเย็นวันนั้นเอง เมื่อเด็กน้อยน้อยวัย 6 ขวบเดินเข้ามาชวนเขาออกไปจับจักจั่นด้วยกัน

อุปกรณ์สำหรับจับจักจั่นไม่มีอะไรมาก ใช้ถุงพลาสติกผูกติดไว้ที่ปลายด้านหนึ่งของไม้ขนาดยาวพอเหมาะ และเอาปุยนุ่นจากต้นนุ่นที่ขึ้นอยู่ทั่วหมู่บ้านใส่ไว้ข้างใน เด็กน้อยบอกว่าใส่ไว้เพื่อป้องกันจักจั่นบินออกจากถุงหลังจากที่เราครอบมันได้แล้ว เขากับเด็กน้อยร่วมกันออกตะลุยตามล่าเจ้านักดนตรีตัวจ้อย โดยเด็กน้อยทำหน้าที่เป็นพรานนำทาง ส่วนเขาคอยระวังหลังและช่วยมองหาว่าต้นกำเนิดของเสียงร้องนั้นมันอยู่ตรงไหน

เด็กน้อยพาเขาลัดเลาะไปเกือบทั่วหมู่บ้าน เข้าหน้าบ้านนี้ออกหลังบ้านนั้น จากขนุนต้นนี้ย้ายไปหมากต้นนั้น จากทางเดินเตียนๆ เด็กน้อยก็พาเข้าไปลุยในดงหนามไผ่ (ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใส่รองเท้า) และหากในระหว่างทางพอมีอะไรพอให้เก็บใส่ปากได้ก็แวะพักชิมกันพอชื่นใจ แดดอ่อนๆ ยามเย็นทำให้บรรยากาศรอบหมู่บ้านดูสวยงามเพลินตา หลายๆ บ้านกำลังเตรียมอาหารเย็น ได้ยินเสียงครกเสียงสากกำลังบรรเลงบทเพลงแห่งชีวิต บางบ้านก็กำลังจับกลุ่มนั่งคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ประจำวัน และเด็กๆ ส่วนใหญ่กับพี่ๆ นักศึกษารวมตัวกันอยู่ที่บึงน้ำที่อยู่ติดกับหมู่บ้าน

ดวงตะวันเริ่มคล้อยต่ำลง ในขณะที่เขาเริ่มสงสัยว่าทำไมจึงรู้สึกสนุกกับการจับจักจั่นได้ถึงเพียงนี้ เขาเพลิดเพลินกับการได้วิ่งสำรวจความเป็นไปของชีวิตที่นี่โดยไร้ซึ่งความวิตกกังวลใดๆ มารบกวน ณ ช่วงเวลานั้นเขารู้สึกเหมือนตัวเองได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เป้าหมายที่จะจับจักจั่นให้ได้เลือนหายไปพร้อมๆ กับภาพความสนุกสนานในวัยเด็กที่ผุดขึ้นมาจากความทรงจำ ลำคลองที่เคยดำผุดดำว่าย การออกเดินทางเพื่อค้นหาสมบัติในสวนกล้วยน้ำว้า จักรยานคู่ใจกับเพื่อนร่วมแก็ง วันนัดดวลปลากัด บ้านบนต้นไม้ หรือไม้แขวนเสื้อที่ทิ้งรอยแดงไว้บนแก้มก้น

แล้วจู่ๆ ดวงตาเขาก็พร่ามัวด้วยม่านน้ำที่เข้ามาบดบัง หนทางเบื้องหน้าหมองหม่น ความเศร้าจู่โจมเข้าสู่จิตใจโดยไม่รู้สาเหตุ ขับไล่ความร่าเริงจนหนีเตลิดไปพร้อมกับบรรยากาศยามเย็น

ทำไมเขาจึงไม่เคยรับรู้ความรู้สึกแบบนี้เลยในรอบหลายปีที่ผ่านมา

บางทีมันอาจยาวนานเกินไปจนกระทั่งเขาลืมไปแล้วว่าความรู้สึกที่กำลังสัมผัสอยู่นั้นมันคืออะไร และเมื่อมันย้อนกลับมาหาเขาอีกครั้ง เขาก็อ่อนแอเกินกว่าจะยอมรับว่าที่ผ่านมาเขาหรือความรู้สึกนั้นที่เป็นฝ่ายเดินจากไป เขาถามตัวเองว่าที่ผ่านมาไปทำอะไรที่ไหนมา? ชีวิตผ่านพบเจอสิ่งใดมาบ้างก่อนจะมาถึงวันนี้? เขากำลังมุ่งหน้าเดินไปสู่แห่งหนใด? และทำไมความสุข ความเบิกบานจึงหายไปจากชีวิตเขาจนแทบหมดสิ้น?

เขาพยายามคิดหาคำตอบ แต่ดูเหมือนคำตอบจะล่องลอยอยู่เป็นเพื่อนสายลม เขาบอกตัวเองได้เพียงว่าชีวิตคงกำลังหลงทาง มันไม่น่าเป็นไปได้ที่ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ชีวิตจะไม่เคยสัมผัสกับความร่าเริงเบิกบานเช่นนี้มาก่อน

ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า ทำไมอยู่ดีๆ ความเบิกบานก็หายไปจากชีวิตเรา ทิ้งไว้เพียงซากความทรงจำตกค้างอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ พอมาวันหนึ่ง เมื่อเราค้นพบว่าซากเหล่านั้นยังคงอยู่และเราต่างก็โหยหามันอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ทำได้ก็เหลือเพียงการไว้อาลัยให้กับชีวิตที่ผ่านเลยมา

หรือว่าพอร่างกายเราเติบใหญ่ หัวใจเราก็ยิ่งฝ่อเล็กลง


เย็นวันนั้น...

เขากับเด็กน้อยจับจักจั่นไม่ได้เลย เนื่องจากออกไปจับกันในเวลาเย็นแล้ว และเป็นเรื่องยากที่จะมองเห็นตัวจักจั่นได้ชัดเจน เขาบ่นว่าคงหมดโอกาสที่จะได้ชิมจักจั่นคั่วซะแล้ว เพราะเหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงเวลาต้องโบกมืออำลา

เย็นวันต่อมา เขาเดินกลับมานั่งพักที่แคร่ใต้ถุนบ้านเหมือนทุกวัน แต่วันนี้มีถุงพลาสติกมัดปากถุงแน่นหนาวางอยู่บนแคร่ มองทะลุถุงไปก็เห็นจักจั่นหลายสิบตัวนอนกองรวมกันอยู่ในนั้น

จักจั่นคั่วทำให้รสชาติของอาหารในมื้อนั้นอร่อยเป็นพิเศษ เขากับเพื่อนนักศึกษาที่พักอยู่ด้วยกันอีกสามชีวิต จัดการกินมันจนหมด ตอบแทนน้ำใจของเพื่อนต่างวัยที่ทั้งชีวิตนี้อาจไม่มีโอกาสได้พบกันอีก


เขาล้มตัวลงนอนเหม่อมองแผ่นฟ้าเมื่อดวงตะวันเริ่มโรยแสง บรรยากาศยามเย็นทำให้จิตใจของเขาผ่อนคลายลงและเปิดโอกาสให้เขาได้ครุ่นคิดถึงช่วงชีวิตที่ผ่านเลยมา

เบื้องหน้าของเขาเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ มันกำลังสะท้อนเงาของขุนเขาสีดำทะมึนที่อยู่ถัดออกไป เส้นขอบของขุนเขาสีดำตัดกับแผ่นฟ้าที่ฉาบทาสีแดงส้มเบื้องบน ให้ความรู้สึกราวกับกำลังชมงานศิลปะของจิตรกรนิรนาม ฝูงนกกำลังโผบินประดับฟากฟ้า และมวลหมู่แมลงเริ่มต้นบรรเลงบทเพลงยามสนธยา

เขาหวนคิดถึงเย็นวันนั้น...

อีกเนิ่นนานเพียงใด กว่าความรู้สึกแบบนั้นจะกลับคืนมา

0 Comments:

Post a Comment

<< Home